เจาะลึกเทคโนโลยีการ ดูดไขมัน (Liposuction)

เจาะลึกเทคโนโลยีการดูดไขมัน (Liposuction)
เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยและตอบโจทย์

เปรียบเทียบการดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ

ในยุคสมัยที่ผู้คนทุกเพศทุกวัยได้หันมาให้ความสนใจกับการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองให้มีความสวยงามและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น การดูดไขมัน (Liposuction) ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในการทำหัตถการด้านความงามที่กำลังได้รับเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีไขมันสะสมแบบเฉพาะส่วนที่ยากต่อการกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้นด้วยวิธีการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร ที่ต้องการปรับสัดส่วนของร่างกายให้มีความกระชับและเข้ารูปมากขึ้นเพื่อเพิ่มความสวยงามและความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีในการดูดไขมัน (Liposuction) ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างหลากหลายเพื่อประโยชน์ในการช่วยเพิ่มความปลอดภัยและมอบผลลัพธ์ในการลดไขมันส่วนเกินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยในบทความนี้ SIAM LOFT Clinic จะขอพาทุกคนมาร่วมเจาะลึกความแตกต่างและประสิทธิภาพที่โดดเด่นของเทคโนโลยีการดูดไขมันยอดนิยมทั้ง 3 รูปแบบ ได้แก่ Vaser Smooth, Body Jet และ BodyTite Pro ดังนี้

  1. ดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Vaser Smooth
    Vaser Smooth เป็นเทคโนโลยีในการดูดไขมันจาก USA ที่ได้มีการนำเอาคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Ultrasound Assisted Liposuction มาใช้ประโยชน์ในการช่วยสร้างพลังงานความร้อนเพื่อทำให้ไขมันเกิดการสลายตัวและกลายมาเป็นน้ำมัน ก่อนที่จะทำการดูดไขมันเหล่านั้นออกไปโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง เพราะฉะนั้นแล้ว เทคนิคการดูดไขมัน (Liposuction) ในรูปแบบดังกล่าวนี้จึงสามารถตอบโจทย์การดูดไขมันในบริเวณกว้าง อาทิ บริเวณหน้าท้อง ต้นขา และสะโพก รวมถึงการดูดไขมันในผู้ที่มีชั้นไขมันหนาหรือมีพังผืดเยอะได้เป็นอย่างดี

    ข้อดีของ Vaser Smooth

    • การดูดไขมัน (Liposuction) เทคนิค Vaser Smooth สามารถช่วยขจัดพังผืดใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาผิวเปลือกส้มที่ดูไม่เรียบเนียน พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ใช้เวลาในการพักฟื้นหลังการดูดไขมัน (Liposuction) น้อย และมีอาการบวมช้ำน้อยกว่าวิธีการดูดไขมันแบบเก่า
    • เทคนิค Vaser Smooth ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในการดูดไขมัน (Liposuction) ที่ละเอียดและสามารถกำจัดไขมันได้ในจำนวนมากภายในระยะเวลาที่น้อยลง

    ข้อจำกัดของ Vaser Smooth

    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิคดังกล่าวอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีการดูดไขมันแบบทั่วไป
    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Vaser Smooth จะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่ยืดหยุ่นหรือผิวหย่อนคล้อยมาก เพราะอาจทำให้ไม่สามารถมอบผลลัพธ์หลังการดูดไขมันที่ตึงกระชับได้เท่าที่คาดหวัง

  2. ดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Body Jet
    Body Jet หรือ Water Jet Liposuction เป็นเทคนิคในการดูดไขมัน (Liposuction) จากประเทศเยอรมนี ที่มีการนำเอาแรงดันน้ำในระดับที่เหมาะสมมาใช้ประโยชน์ในการช่วยแยกชั้นไขมันออกจากเนื้อเยื่อที่มีความเกี่ยวพันกับเส้นเลือดและเส้นประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการใช้แรงดันน้ำจะช่วยทำให้ไขมันหลุดออกจากเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่ทำให้เนื้อเยื่อเกิดความเสียหาย รวมถึงไม่ก่อให้เกิดอาการช้ำที่มากนัก นอกจากนี้ การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Body Jet ยังไม่ทำให้เกิดการบวมช้ำและไม่ทำให้ต้องเสียเลือดในปริมาณมากด้วยเช่นกัน

    ข้อดีของ Body Jet

    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิคแรงดันน้ำดังกล่าวนี้เป็นวิธีการที่มีความอ่อนโยนต่อร่างกาย ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่เส้นเลือดและเส้นประสาทจะถูกทำลายได้เป็นอย่างดี
    • อาการบวมช้ำหลังการดูดไขมัน (Liposuction) ค่อนข้างน้อย จึงทำให้ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นที่น้อยกว่าการดูดไขมันด้วยเทคนิคหรือวิธีการอื่น ๆ 
    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Body Jet เป็นการดูดไขมันแบบระบบปิด ส่งผลให้ไขมันที่ถูกดูดออกมาจึงสามารถนำไปใช้ในการฉีดเติมเต็มส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาทิ ฉีดหน้าอก สะโพก หรือใบหน้า ได้อีกด้วย

    ข้อจำกัดของ Body Jet

    • เทคนิคการดูดไขมัน (Liposuction) Body Jet มักจะถูกนำมาใช้ดูดไขมันในบริเวณที่มีไขมันสะสมไม่มาก อาทิ หน้าท้องส่วนบน จึงทำให้อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมในปริมาณมาก รวมถึงการดูดไขมันในบริเวณที่ต้องการการเก็บรายละเอียดสูงมาก 
    • ค่าใช้จ่ายในการดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิคดังกล่าวนี้สูงกว่าเทคโนโลยีการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

  3. ดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค BodyTite Pro
    BodyTite Pro เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีในการดูดไขมันจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ RFAL (Radio Frequency Assisted Liposuction) มาช่วยในการกระตุ้นให้เกิดความร้อนในบริเวณที่ต้องการจะดูดไขมัน (Liposuction) เพื่อช่วยให้ไขมันสามารถละลายได้ง่ายขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการช่วยยกกระชับผิวในบริเวณที่ได้ทำการดูดไขมันออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาผิวไหม้หรือปัญหาอื่น ๆ ตามมา นอกจากนี้ BodyTite Pro ยังสามารถปรับระดับความลึกของหัว Cannular ได้ตามระดับความหนาของชั้นไขมันตั้งแต่ระดับ 5 mm. – 50 mm. เพื่อการช่วยตอบโจทย์ความต้องการในการดูดไขมันในบริเวณที่เข้าถึงได้ยากได้อย่างแท้จริง

    ข้อดีของ BodyTite Pro

    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค BodyTite Pro ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยก่อนการดูดไขมันเป็นอย่างดี
    • สามารถช่วยลดปัญหาการเกิดรอยบุ๋มของผิวหนังหลังการดูดไขมัน (Liposuction) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากคลื่นวิทยุจะสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จนนำไปสู่การช่วยทำให้ผิวหนังมีความกระชับและเต่งตึงมากยิ่งขึ้น
    • การดูดไขมัน (Liposuction) แบบ BodyTite Pro นั้นจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นไม่นาน อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้ยังมีความคงทนกว่าวิธีการดูดไขมันในรูปแบบอื่น ๆ 

    ข้อจำกัดของ BodyTite Pro
    • การดูดไขมัน (Liposuction) ดังกล่าวนี้มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากมีการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีการใช้เครื่องมือที่มีความเฉพาะ
    • BodyTite Pro เป็นเทคนิคที่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูดไขมัน (Liposuction) ในปริมาณมาก เพราะอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วเท่าที่คาดหวัง

  4. ดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค J Plasma
    การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค J Plasma เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยลดไขมันส่วนเกินและกระชับผิวหนังไปพร้อมๆ กันการใช้เทคนิค J Plasma นี้จะนำพลังงานจากพลาสมาที่มีความเย็นสูงมาใช้ในการหลอมละลายไขมันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแค่ไขมันหายไป แต่ยังช่วยทำให้ผิวหนังกระชับและยืดหยุ่นขึ้นอีกด้วย


    ข้อดีของ J Plasma
    • การกระชับผิวหนังที่ลดลงไปพร้อมกับการดูดไขมัน การใช้พลาสมาจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวหนังที่เคยหย่อนยานกลับมามีความยืดหยุ่นและกระชับ
    • หลังจากดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค J Plasma ผลลัพธ์จะคงอยู่นานกว่าการดูดไขมันแบบทั่วไป เนื่องจากผิวหนังได้รับการกระชับและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
    • การใช้เทคโนโลยี J Plasma ทำให้การฟื้นตัวจากดูดไขมัน (Liposuction) เป็นไปได้รวดเร็วกว่า ลดอาการบวมและฟกช้ำที่มักจะเกิดขึ้นจากการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
    • การใช้พลาสมาที่สามารถควบคุมพลังงานได้อย่างแม่นยำทำให้มีความปลอดภัยสูงในระหว่างการทำและลดความเสี่ยงจากการเกิดแผลเป็น

    ข้อจำกัดของ J Plasma
    • แม้ว่าดูดไขมัน (Liposuction) ด้วย J Plasma จะมีประสิทธิภาพสูงในการกระชับผิว แต่ก็อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่หย่อนคล้อยมาก หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น โรคหัวใจหรือโรคเบาหวาน
    • แม้ว่าดูดไขมัน (Liposuction)และการกระชับผิวจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะปรากฏหลังจากการทำไปแล้วหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล

  5. ดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Ultra Z
    การดูดไขมันด้วยเทคนิค Ultra Z คือ เทคนิคการดูดไขมันที่มีการนำเอาเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) มาใช้ประโยชน์ในการช่วยสลายไขมันก่อนที่จะทำการดูดออกจากร่างกาย โดยเทคนิคการดูดไขมัน (Liposuction) ดังกล่าวนี้จะสามารถช่วยทำให้กระบวนการดูดไขมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถกำจัดไขมันที่อยู่ในชั้นลึกได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย รวมถึงช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อดีของ Ultra Z

    • ใช้เวลาในการดูดไขมันน้อยกว่าและเจ็บน้อยกว่า เนื่องจากการดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงจะสามารถช่วยลดความเจ็บปวดและการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อลงได้เป็นอย่างดี
    • เทคนิคการดูดไขมัน (Liposuction) Ultra Z สามารถช่วยกำจัดไขมันในบริเวณที่เข้าถึงยากได้ อาทิ ใต้คาง หรือท้องแขน ได้อย่างครอบคลุม
      Ultra Z เป็นเทคนิคการดูดไขมัน (Liposuction) ที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว และช่วยทำให้ผิวกระชับมากยิ่งขึ้นหลังการดูดไขมัน

    ข้อจำกัดของ Ultra Z
    • การดูดไขมันด้วยเทคนิคดังกล่าวเป็นการดูดไขมันทิ้ง ส่งผลให้ไขมันที่ได้มาจากการดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Ultra Z จึงไม่สามารถนำมาใช้เติมต่อได้
    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Ultra Z เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างเล็กหรือมีชั้นไขมันที่ไม่หนามาก

  6. ดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Microaire Pal
    การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Microaire Pal เป็นนวัตกรรมการดูดไขมันจากสหรัฐอเมริกา ที่ใช้พลังงานกล  (PAL : Power-Assisted Liposuction) ผ่านการสั่นสะเทือนของหัวดูดไขมัน (Cannula) ที่ความเร็วประมาณ 4,000 รอบต่อนาที เพื่อประโยชน์ในการช่วยสลายและดูดไขมันออกจากร่างกายได้อย่างตรงจุด

    ข้อดีของ Microaire Pal

    • การสั่นสะเทือนของเทคนิคการดูดไขมัน (Liposuction) แบบ Microaire Pal สามารถช่วยให้แพทย์ไม่ต้องออกแรงมากในการดูดไขมัน อีกทั้งยังช่วยทำให้ไขมันส่วนเกินไหลออกมาได้ง่ายดายมากขึ้น
    • การสั่นสะเทือนของการดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Microaire Pal สามารถช่วยลดการเสียดสีของผิวหนังและเนื้อเยื่อข้างเคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Microaire Pal จะไม่ใช้ความร้อนในการดูดไขมัน ส่งผลให้ผู้ที่เข้ารับการดูดไขมันจึงมักจะไม่รู้สึกเจ็บหลังทำ รวมถึงไม่เสี่ยงผิวไหม้ หรือการเกิดผิวบุ๋ม ผิวเป็นคลื่น หรือผิวไม่เรียบเนียน

    ข้อจำกัดของ Microaire Pal
    • เนื่องจากการดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Microaire Pal ทำงานด้วยการสั่นสะเทือน ส่งผลให้ในขณะที่ทำการดูดไขมัน ตัวเครื่องจึงอาจส่งเสียงดังมาก

    • การดูดไขมัน (Liposuction) ด้วยเทคนิค Microaire Pal อาจทำให้เกิดการบวมช้ำในระดับที่มากกว่าการดูดไขมันด้วยเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นที่นานมากยิ่งขึ้น

ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการดูดไขมัน (Liposuction) ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด ด้วยบริการดูดไขมันจาก SIAM LOFT Clinic คลินิกระดับพรีเมียม ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านความงามโดยแพทย์เฉพาะทาง พร้อมบริการให้คำปรึกษาปัญหาทั้งด้านศัลยกรรม ผิวพรรณ ใบหน้า ไปจนถึงปลูกผม รูปร่าง และการดูดไขมัน Liposuction ด้วยเครื่อง J-plasma Bodytite Vaser smooth 2.2 HD Ulthera SPT ที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและมีความปลอดภัยที่ได้ระดับมาตรฐานสากล

สอบถามข้อมูล ดูดไขมัน (Liposuction) เพิ่มเติม SIAM LOFT Clinic

โทรศัพท์ : 061-669-9252
LINE : @Siamloft.clinic
Facebook : facebook.com/SiamLoftClinic
Email : siamloft.c@gmail.com